Press Releases

การสำรวจน้ำมันและก๊าซที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลตอบแทนสูงอาจช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 1 และ 2 ทั่วโลกลงได้ 6% ในปี 2030

การค้นพบใหม่ ๆ ช่วยจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมได้โดยไม่เป็นการสร้างอุปสงค์ใหม่

ลอนดอน ฮุสตัน และสิงคโปร์, Nov. 21, 2024 (GLOBE NEWSWIRE) — การลงทุนในการสำรวจน้ำมันและก๊าซลดลงสองในสามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ภาคอุตสาหกรรมยังคงมีบทบาทสำคัญในความพยายามในการลดการปล่อยคาร์บอนและจัดหาน้ำมันที่ผลิตโดยมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าซึ่งได้เปรียบในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยข้อมูลดังกล่าวอิงตามรายงาน Horizons ล่าสุดจาก Wood Mackenzie

ข้อมูลตามรายงาน “ไม่มีประเทศใดที่ใช้แหล่งพลังงานเก่า: เหตุใดการสำรวจน้ำมันและก๊าซที่มีความเสี่ยงสูงและมีผลตอบแทนสูงจึงยังคงจำเป็น” ระบุว่า โลกมีทรัพยากรมากมายในปัจจุบันเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ โดยมีปริมาณน้ำมันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (boe) อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านล้านบาร์เรล ซึ่งแปลว่าทรัพยากรมีอายุใช้งานมากกว่า 45 ปีสำหรับน้ำมัน และมากกว่า 60 ปีสำหรับก๊าซ

“ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่มากมายขนาดนี้ จึงเกิดคำถามว่า ทำไมการสำรวจจึงยังมีความจำเป็นอยู่” Andrew Latham กล่าว “สิ่งสำคัญที่ต้องชี้ให้เห็นก็คือ แหล่งพลังงานที่เพิ่งค้นพบใหม่จะไม่ทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้น เนื่องจากอุปสงค์จะไม่เพิ่มขึ้นเมื่อการสำรวจประสบความสำเร็จ และจะไม่ลดลงเมื่อการสำรวจล้มเหลว สิ่งที่สามารถพูดได้ก็คือ การสำรวจที่ประสบความสำเร็จจะช่วยลดความเข้มข้นของคาร์บอน ลดต้นทุนของน้ำมันและก๊าซสำหรับผู้บริโภค และเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรและผู้สำรวจ เนื่องจากอุปสงค์กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ จึงจำเป็นต้องมีการลงทุนในอุปทานใหม่เพื่อแทนทางเลือกที่สกปรกกว่า”

การลดคาร์บอน

ตามรายงาน การค้นหาแหล่งพลังงานใหม่ช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 1 และ 2 หรือการปล่อยมลพิษที่เกิดขึ้นในกระบวนการสกัดและการกลั่นได้ดีกว่าการทำความสะอาดแหล่งพลังงานเก่า แหล่งพลังงานใหม่มีความสะอาดกว่าด้วยเทคโนโลยีลดคาร์บอนที่ทันสมัยและปริมาณงานของโรงงานที่สูงกว่า

Lens Upstream ของ Wood Mackenzie เปิดเผยว่าแหล่งพลังงานใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นการผลิตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 1 และ 2 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17 kgCO2e/boe ในช่วงปี 2025-2030 โดยเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแหล่งพลังงานที่มีอายุมากซึ่งเป็นอุปทานที่มีอยู่แล้ว ความเข้มข้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยของแหล่งพลังงานดังกล่าวจะอยู่ที่ 28 kgCO2e/boe

“ผลประโยชน์ที่เป็นไปได้นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” Latham กล่าว “การสำรวจในทศวรรษปัจจุบันกำลังดำเนินการในการจัดหาอุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวน 12% จากอุปทานทั้งหมดทั่วโลก หากเราสมมติว่าแหล่งพลังงานใหม่เหล่านี้เข้ามาแทนที่ทางเลือกอุปทานที่มีอยู่เดิมซึ่งมีความเข้มข้นของการปล่อยมลพิษของแหล่งพลังงานเก่าแบบปกติทั่วไป เช่นนั้นแล้วการปล่อยมลพิษในประเภทที่ 1 และ 2 ทั่วโลกในปี 2030 จะลดลงประมาณ 6% หรือ 100 Mtpa CO2e”

ประสิทธิภาพที่มีมูลค่าสูง

เศรษฐศาสตร์ยังเป็นตัวขับเคลื่อนกิจกรรมด้วย ประสิทธิภาพการสำรวจของอุตสาหกรรมนั้นน่าดึงดูดใจมาตั้งแต่เมื่อตอนที่ต้นทุนต้นน้ำได้รับการปรับใหม่เมื่อทศวรรษที่แล้ว

“การสำรวจเป็นวิธีการที่ประหยัดที่สุดในการฟื้นฟูกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยแหล่งพลังงานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทที่แสวงหาทรัพยากรที่มีข้อได้เปรียบ หรือบริษัทที่มีคาร์บอนต่ำและมีมูลค่าสูง” Latham กล่าว “สินทรัพย์ที่มีค่าดังกล่าวนั้นยากที่จะซื้อในราคาที่สมเหตุสมผลได้ ดังนั้นการค้นพบสินทรัพย์ดังกล่าวแทนนั้นจึงดีกว่ามาก”

ตามรายงาน ผลตอบแทนตลอดรอบวงจรนั้นอยู่ในระดับสองหลักอย่างสม่ำเสมอทุกปีตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15% การค้นพบแหล่งพลังงานใหม่ ๆ มีมูลค่ามากกว่าต้นทุนในการค้นหามาก โดยมีมูลค่าสุทธิที่สร้างได้มากกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2015 โดยถือว่าราคาที่อุตสาหกรรมวางแผนไว้คือ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลน้ำมันเบรนท์ในระยะยาว (เกือบสองเท่าของมูลค่าตลาดปัจจุบันของบริษัท BP ขนาดใหญ่)

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Wood Mackenzie คำนวณราคาจุดคุ้มทุนเฉลี่ยของอุตสาหกรรมสำหรับการสำรวจที่ประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหน่วยน้ำบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (เบรนท์ มูลค่าปัจจุบันสุทธิ 10%) เทียบกับ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหน่วยน้ำบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบสำหรับการควบรวมและซื้อกิจการ ช่องว่างสำหรับทรัพยากรที่มีข้อได้เปรียบนั้นกว้างขึ้นเนื่องจากสินทรัพย์ประเภทนี้ขาดแคลนในตลาด

การสำรวจชายแดนและน้ำลึกมีประสิทธิภาพมากที่สุด

แหล่งพลังงานชายแดน ซึ่งหมายถึงแหล่งที่ไม่มีการผลิตจากแหล่งกักเก็บน้ำมันที่คล้ายคลึงกันในแอ่งเดียวกัน จะมีความโดดเด่นด้วยขนาดทรัพยากร ยิ่งไปกว่านั้น การสำรวจน้ำลึกในแอ่งชายแดนนั้นสามารถพบแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแก่ผู้สำรวจได้ การขุดเจาะที่พื้นที่ชายแดนเพิ่มปริมาณน้ำมันดิบมากกว่า 80 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อบ่อน้ำมัน ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าเจ็ดเท่าของบ่อน้ำมันซึ่งอยู่ในแหล่งพลังงานที่มีอายุมากแล้ว โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณนอกชายฝั่งที่่อยู่ลึกลงไป โครงการน้ำลึกมีอัตราการฟื้นตัวสูงต่อบ่อน้ำมัน และมีแนวโน้มว่าจะมีความเข้มข้นของการปล่อยมลพิษต่ำกว่า (<15tCO2e/kboe) เมื่อเทียบกับโครงการไหล่ทวีปและบนบก

ตามรายงาน แหล่งน้ำลึกจะเปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการสำรวจ เนื่องจากแอ่งน้ำลึกส่วนใหญ่ของโลกในระดับความลึกตั้งแต่ 400 เมตรไปจนถึงมากกว่า 3,000 เมตรนั้นแทบจะไม่มีการขุดเจาะเลย

ทรัพยากรต่อบ่อน้ำมันที่สำรวจตามความลึกของน้ำ

“บริษัทขนาดใหญ่ได้กระโจนมาเข้าร่วมกระแสการสำรวจน้ำลึกเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ” Latham กล่าว “ปัจจุบัน บริษัทเหล่านี้ถือครองพื้นที่สุทธิเกือบ 70% ในน้ำลึก และทุ่มค่าใช้จ่ายในการสำรวจและประเมินในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันให้กับภาคส่วนนี้”

“บริษัทน้ำมันแห่งชาติจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำตาม เนื่องจากรัฐบาลสั่งให้เพิ่มผลผลิตและรับรองความมั่นคงด้านพลังงานในประเทศ”

ภายในทรัพยากรที่ยังไม่ได้ใช้เหล่านี้ ยังคงมีน้ำมันและก๊าซอีกมากที่รอการค้นพบ แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมจะค้นพบน้ำมันและก๊าซน้อยลงเมื่อเทียบกับหลายทศวรรษก่อน แต่สาเหตุก็มาจากการเจาะบ่อน้ำมันน้อยลง

เส้นโค้งที่แสดงปริมาณสะสมของน้ำมันและก๊าซที่ค้นพบกับจำนวนหลุมสำรวจที่ขุดเจาะทั่วโลกเผยให้เห็นเส้นที่เกือบเป็นเส้นตรง โดยมีความชันคงที่อยู่ที่ประมาณ 30 ล้านบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบที่ค้นพบต่อบ่อน้ำมัน ซึ่งรวมถึงหลุมน้ำมันแห้งด้วย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา และมีบ่อน้ำมันมากกว่า 50,000 บ่อ การลดลงอย่างกะทันหันของแนวโน้มที่เกิดขึ้นมานานนี้ดูเหมือนจะไม่น่าเป็นไปได้

“โอกาสในการสำรวจยังมีอยู่อีกมาก แต่การสำรวจยังคงประสบปัญหาในด้านภาพลักษณ์ที่ร้ายแรง” Latham กล่าว “การรับรู้ที่แพร่หลายว่าการสำรวจส่งผลเสียต่อสภาพอากาศคุกคามทุกในทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่การเข้าถึงโอกาสและใบอนุญาตทางสังคมในการดำเนินงานไปจนถึงการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นมากมายในเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขได้อย่างง่ายดาย การสำรวจมีบทบาทในการลดคาร์บอนในอุปทานน้ำมันและก๊าซ”

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อทีมประชาสัมพันธ์ของ Wood Mackenzie:

Mark Thomton
+1 630 881 6885
Mark.thomton@woodmac.com

Hla Myat Mon
+65 8533 8860
hla.myatmon@woodmac.com

The Big Partnership (บริษัทตัวแทนการประชาสัมพันธ์ในสหราชอาณาจักร)
woodmac@bigpartnership.co.uk

คุณได้รับข่าวประชาสัมพันธ์จาก Wood Mackenzie ฉบับนี้ เนื่องจากเรามีข้อมูลของคุณ หากข้อมูลที่เรามีไม่ถูกต้อง คุณสามารถอัปเดตความต้องการของคุณได้โดยการติดต่อทีมประชาสัมพันธ์ของเรา หากคุณไม่ต้องการรับอีเมลประเภทนี้อีกในอนาคต โปรตอบกลับโดยใส่คำว่า ‘unsubscribe’ (ยกเลิกการสมัครสมาชิก) ในช่องหัวข้อ  

เกี่ยวกับ Wood Mackenzie

Wood Mackenzie ดำเนินกิจการข้อมูลเชิงลึกทั่วโลกด้านแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากธรรมชาติ ซึ่งขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และผลักดันโดยผู้คน ท่ามกลางการปฏิวัติด้านพลังงาน ธุรกิจและภาครัฐจำเป็นต้องมีข้อมูลเชิงลึกที่น่าเชื่อถือและนำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อชักนำการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เราดำเนินการครอบคลุมทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทานอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งอย่างไม่มีใครเทียบได้ โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 50 ปีในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ปัจจุบัน ทีมของเรามีผู้เชี่ยวชาญกว่า 2,000 คนปฏิบัติงานใน 30 แห่งทั่วโลก เพื่อจุดประกายการตัดสินใจของลูกค้าผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ การให้คำปรึกษา การจัดงานกิจกรรม และการเป็นผู้นำทางความคิด เราร่วมมือกันส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่จำเป็นต่อลูกค้า เพื่อแยกแยะความเสี่ยงออกจากโอกาส และกล้าตัดสินใจเมื่อถึงเวลาสำคัญที่สุด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ woodmac.com

สามารถดูรูปภาพประกอบการประกาศนี้ได้ที่:

http://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/1d7064c0-062c-45f3-90d0-3ba1d994fa69
http://www.globenewswire.com/NewsRoom/AttachmentNg/759be251-f538-4398-a340-74dacfdfa04e

GlobeNewswire Distribution ID 1001014397

Related Articles

Back to top button